ไขข้อสงสัย ทำไมราคานาฬิกาหรูถึงแพง ? ต่างจากนาฬิกาปกติยังไง ?

ทำไมนาฬิกาหรูถึงแพง THONG

ถ้าคุณเคยตั้งคำถามว่า “ทำไมนาฬิกาบนข้อมือเรือนหนึ่ง ถึงราคาเป็นแสน เป็นล้าน” บทความนี้จะไม่ใช่แค่คำตอบ แต่จะเปิดมุมมองใหม่ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

  1. กลไกที่ต้องใช้คนสร้าง ไม่ใช่สายพานผลิต
    นาฬิกาหรูใช้กลไก Mechanical หรือ Automatic ที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนขนาดเล็กกว่าหัวเข็มหมุดกว่า 200 ชิ้น บางรุ่นอย่าง Patek Philippe ต้องใช้ช่างฝีมือฝึกงาน 5-10 ปีจึงจะสามารถประกอบได้สมบูรณ์ ต่างจากนาฬิกาทั่วไป ที่ใช้กลไกควอตซ์ซึ่งผลิตจำนวนมากด้วยเครื่องจักร
  2. วัสดุที่เลือกมาเพื่ออยู่กับคุณตลอดชีวิต
  • Rolex ใช้สเตนเลส 904L ซึ่งแข็งแรงและกันสนิมกว่าสเตนเลสมาตรฐาน
  • Richard Mille ใช้วัสดุจากโลกของ Formula 1 และ Aerospace
  • Patek ใช้ทองคำ 18K หรือ platinum ทั้งเรือน
    นาฬิกาทั่วไป มักใช้โลหะอัลลอยด์หรือสายหนังสังเคราะห์ที่เสื่อมตามเวลา
  1. เวลาในการผลิตนานเพราะทุกชิ้นคืองานศิลป์
    นาฬิกาอย่าง Audemars Piguet Royal Oak บางรุ่นใช้เวลา “ขัดตัวเรือน” เพียงอย่างเดียวถึง 3 วัน และบางเรือนต้องใช้เวลาผลิตทั้งกระบวนการนานถึง 1 ปี
  2. มีเรื่องราว มีตำนาน มีมูลค่าต่อ
    แบรนด์หรูอย่าง Patek หรือ Rolex ไม่ได้ขายแค่สินค้า แต่ขาย “ประวัติศาสตร์และความน่าเชื่อถือ”
    เช่น Rolex Daytona เคยอยู่บนข้อมือของ Paul Newman หรือ Patek Philippe ที่เคยทำเรือนพิเศษให้ราชวงศ์ยุโรป เมื่อของมี Story ราคาก็จะยิ่งพุ่งและทรงอิทธิพลเพราะ demand ของตลาด
  3. นาฬิกาหรู = สินทรัพย์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องประดับ
    รุ่นยอดนิยมบางรุ่น ราคามือสองสูงกว่าราคาใหม่ เช่น
  • Rolex Submariner ราคาขายต่อสูงขึ้นปีละเฉลี่ย 7-10%
  • Patek Philippe Nautilus มี waiting list ยาวถึง 10 ปี และราคาขายต่อสูงกว่าราคาป้ายเกือบ 3 เท่า
    นาฬิกาเหล่านี้จึงเป็นมากกว่าสิ่งของ มันคือ “Asset ที่ใส่ได้”

นาฬิกาหรูไม่ได้แพงเพราะความสวยหรือมีแบรนด์ แต่แพงเพราะรวมคุณค่าทั้งด้านกลไก ศิลปะ วัสดุ เวลา ความหายาก และมูลค่าทางจิตวิญญาณของแบรนด์ไว้บนข้อมือ

หากสนใจเรือนไหนสามารถปรึกษา THONG เพิ่มเติมได้ที่ LINE OA: @THONGPATEK

แหล่งที่มา

  1. Fondation de la Haute Horlogerie – Haute Horlogerie Explained
  2. Rolex Official – Materials and Production Process
  3. Patek Philippe – Craftsmanship and Tradition
  4. WatchBox Market Report 2024 – Price Retention in Luxury Watches
  5. Phillips Auction Results – Investment-grade Watch Models

‘Swiss Made’ คืออะไร? แค่เห็นคำนี้มูลค่านาฬิกาก็เพิ่มทันที

‘Swiss Made’ คืออะไร? แค่เห็นคำนี้มูลค่านาฬิกาก็เพิ่มทันที

คำว่า Swiss Made ที่ปรากฏบนหน้าปัดนาฬิกาไม่ใช่เพียงการบ่งบอกว่าเรือนนี้มาจากสวิตเซอร์แลนด์ แต่มันคือ “ตรารับประกัน” คุณภาพในสายตาของนักสะสม นักลงทุน และผู้เชี่ยวชาญนาฬิกาทั่วโลก

Swiss Made คืออะไรในทางกฎหมาย?
ภายใต้กฎหมาย Swiss Ordinance on the Use of the Name “Swiss” for Watches (ปรับล่าสุดปี 2017) นาฬิกาที่จะได้รับการตีคำว่า Swiss Made ต้องผ่านเงื่อนไขที่เข้มงวด ดังนี้

  • กลไก (movement) ต้องเป็น Swiss movement
  • ต้องประกอบในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
  • ค่าการผลิตอย่างน้อย 60% ของราคาทั้งหมด ต้องเกิดขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์
  • ตรวจสอบคุณภาพขั้นสุดท้ายต้องทำในประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ทำไม Swiss Made ถึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของ “ความเชื่อถือ” ทั่วโลก?
เหตุผลที่นาฬิกาหรูส่วนใหญ่ เช่น Rolex, Patek Philippe, Audemars Piguet และ Richard Mille ใช้คำนี้ ไม่ใช่เพราะ “จำเป็น” แต่เพราะมันคือ “Trustmark” ที่สะท้อนถึง

  • ความประณีตของช่างนาฬิกา (Craftsmanship)
  • ประวัติศาสตร์กว่า 200 ปีของอุตสาหกรรมนาฬิกาสวิส
  • มาตรฐานการควบคุมคุณภาพระดับโลก
  • ความแม่นยำและความทนทานสูงสุด
    นักสะสมและนักลงทุนส่วนใหญ่ยอมจ่ายมากกว่าหลายหมื่นดอลลาร์ เพียงเพราะคำนี้ปรากฏอยู่บนหน้าปัด

Swiss Made มีผลต่อ “ราคาขายต่อ” อย่างไร?
รายงานจาก Chrono24 และ WatchBox พบว่า นาฬิกาที่มีคำว่า Swiss Made มักมี “resale value” สูงกว่านาฬิกาที่ไม่มีคำนี้ประมาณ 15-40% โดยเฉพาะในแบรนด์ระดับ Tier 1 อย่าง Patek Philippe และ AP ที่ยึดหลัก Swiss Made เป็นจุดขายทางจิตวิทยาสำหรับตลาด Global Luxury

แล้วทำไมบางแบรนด์ “ไม่นิยม” ใช้ Swiss Made?
แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีแบรนด์กลุ่ม Independent Watchmaker บางราย เช่น F.P. Journe หรือ MB&F ที่เลือกไม่ใช้คำว่า Swiss Made แม้ผ่านเกณฑ์
เพราะต้องการเน้น “เอกลักษณ์เฉพาะตน” มากกว่าคำรับรองจากรัฐ สิ่งนี้ยิ่งตอกย้ำว่า Swiss Made มีความหมายลึกเกินกว่าจะเป็นแค่โลโก้หน้าปัด

สรุป Swiss Made คือมาตรฐานทองคำที่ไม่ได้มาเพราะ “ผลิตในสวิส” เท่านั้น แต่ต้อง “คิดแบบสวิส” ทุกกระบวนการ นาฬิกาที่ประทับคำว่า Swiss Made ไม่เพียงแต่บอกว่าคุณครอบครองนาฬิกาจากสวิตเซอร์แลนด์ แต่หมายถึงคุณเป็นเจ้าของผลงานศิลป์ระดับโลกที่ผ่านการออกแบบ สร้างและทดสอบภายใต้ปรัชญาความสมบูรณ์แบบของสวิส

แหล่งข้อมูล (References):

  1. Swiss Federal Council – Ordinance on the Use of “Swiss” for Watches, 2017
  2. Fondation de la Haute Horlogerie – The Significance of Swiss Made Label
  3. Chrono24 Insights – How Swiss Made Influences Watch Prices, 2023
  4. WatchBox Global Trends Report – Resale Value and Brand Trust Factors, 2022
  5. Patek Philippe, AP, Rolex Official Communication Archives

ประวัตินาฬิกา Audemars Piguet

Audemars Piguet logo. (PRNewsFoto/Audemars Piguet)

ประวัติศาสตร์แรกเริ่มของ Audemars Piguet เริ่มต้นตั้งแต่ในปี 1875 ด้วยความร่วมมือของช่างนาฬิกาวัย 23 ปี จูลส์-หลุยส์ โอเดอะมาร์ส (Jules-Louis Audemars) และหุ้นส่วนคนสำคัญ เอ็ดวาร์ด -ออกัสต์ ปิเกต์ (Edward August Piguet) ที่เพิ่งจะอายุแค่ 21 ปี แต่เมื่อความต้องการของทั้งคู่นั้นสอดคล้องกัน ทำให้หลังจากพบกันได้เพียงไม่นาน ทั้งคู่ในฐานะช่างนาฬิกามีชื่อในระดับท้องถิ่นแห่ง วัลเลย์ เดอ ฌูช์ ก็ตัดสินใจร่วมกันตั้งบริษัทที่แรกๆนั้นเป็นที่รู้จักกันในนาม Audemars Piguet et Cie โดยมี Jules – Louis Audemars เป็นผู้ดูแลเรื่องการผลิตและทางด้านเทคนิค ส่วน Edward August Piguet นั้นดูแลงานด้านการขายและการตลาดที่หมั่นออกพบลูกค้าผ่านหลายเมืองสำคัญและอีกหลายทวีปอย่างมุ่งมั่น

แม้จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จนักในระยะแรกๆซึ่งแท้จริงแล้ว บริษัทยังไม่ได้จดเครื่องหมายการค้าจนกระทั่งในปี 1882 ด้วยซ้ำ และบริษัทก็ยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการจนกระทั่งปี 1889 อย่างไรก็ตาม Audemars Piguet et Cie กลับเป็นบริษัทใหญ่ที่มีจำนวนลูกจ้างสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของอุตสาหกรรมผู้ผลิตนาฬิกาในรัฐ Vaud ซึ่งเป็นผลจากความมุ่งมั่นของบุคคลทั้งสองที่มีจุดมุ่งหมายในการผลิตนาฬิกาคุณภาพสูงมีความสลับซับซ้อนและมีความเที่ยงตรงสูงสุดจนประสบความสำเร็จในที่สุด

audemars_piguet

หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้ไม่นานทั้งคู่จึงได้ตั้งสำนักงานสาขาอยู่ในกรุงเจนีวาและตัดสินใจผลิตชิ้นส่วนและประกอบเรือนนาฬิกาทั้งหมดในโรงงานของตัวเอง ซึ่งทำให้บริษัทสามารถควบคุมคุณภาพของนาฬิกาได้อย่างเคร่งครัด และมั่นใจได้ว่ามีเฉพาะนาฬิกาคุณภาพสูงได้มาตราฐานเท่านั้นที่จะสามารถส่งออกจากโรงงานของพวกเขาได้ ทำให้ไม่น่าแปลกใจเลยว่าในระหว่างช่วงปี 1894-1899 มีนาฬิกาเพียง 1,208 เรือนเท่านั้นที่ได้รับการผลิต ซึ่งในจำนวนนี้บางส่วนนั้นเป็นนาฬิกาที่มีความสลับซับซ้อนและทันสมัยสูงสุด ซึ่งก็รวมถึงนาฬิกาแห่งตำนานรุ่น ‘กรองด์ คอมพลิเคชั่น ‘(Grande Complication) ที่ยังคงมีการผลิตอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ เนื่องจากชื่อเสียงและการได้รับความไว้วางใจจากบุคคลทั่วโลก เพราะนอกจากบอกเวลาตามปกติแล้ว Grande Complication รุ่นนี้ ยังมีระบบระฆังบอกนาที บอกปฏิทินตลอดชีพ และระบบโครโนกราฟ สอดแทรกมาให้อย่างครบครันด้วย

ประมาณปี 1914 Audemars Piguet ได้ตั้งโครงการพัฒนานาฬิกาให้มีความสลับซับซ้อนทำให้ต้องใช้เวลาถึง 6 ปี ในการผลิตอย่างต่อเนื่องก่อนที่นาฬิกาจะถูกส่งไปยังผู้นำเข้า Guignard & Golay ในกรุงลอนดอน ซึ่งนาฬิกาที่กล่าวถึงนี้ก็คือนาฬิกาพกที่มีสองหน้าปัดและกลไกทูร์บิญองบอกนาทีและมีทั้งฟังก์ชั่นตีระฆังบอกนาที ระบบจับเวลาโครโนกราฟ ระบบปฏิทินตลอดชีพ เวลาข้างขึ้น – ข้างแรมของพระจันทร์ และบอกพลังสำรองของลานส่วนบน อีกหน้าปัดหนึ่งนั้นแสดงเวลาเพิ่มเติมแบบ 24 ชั่วโมง ที่ชี้เวลาด้วยเข็ม 2 เข็ม พร้อมระบบพิเศษที่ทำให้สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้าบนกรุงลอนดอนทั้งกลางวันและกลางคืนผ่านช่องเปิดรูปวงรีบนหน้าปัดด้านหลังซึ่งบนท้องฟ้านั้นมีดาวจำนวน 315 ดวงสลักไว้บนพื้นหน้าปัดชุบทองและลงยาด้วยสีฟ้า ทั้งยังสลักชื่อของกลุ่มดาวเอาไว้อย่างชัดเจน การสร้างสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่มีใครเคยคาดคิดว่าจะเป็นไปได้นี้ทำให้ชื่อของ Audemars Piguet เป็นที่รู้จักและถูกกล่าวขานกันมากขึ้น
แต่รายทางของตำนานก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เมื่อกระแสความสำเร็จที่มีอย่างต่อเนื่องของ Audemars Piguet ชะงักงันในปี 1929 ที่บริษัทขายนาฬิกาได้เพียง 737 เรือนเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากยอดขายในปี 1920 ที่มีอยู่ราว 2,000 เรือนอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากปัญหาทางด้านการตลาดและวิกฤติทางเศรษฐกิจที่ทำให้ลูกค้าผู้มีกำลังซื้อนาฬิกาแพงๆลดลง ในที่สุด Audemars Piguet จำต้องปลดพนักงานและช่างนาฬิกาออกอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในปี 1932 มีนาฬิกาเพียง 2 เรือนเท่านั้นที่บริษัทผลิตออกมา

แม้จะล้มลุกคลุกคลาน แต่ไม่เคยคิดยอมแพ้ ในที่สุดบริษัทก็สามารถกลับฟื้นขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะความสำเร็จของระบบโครโนกราฟที่พวกเขาคิดค้นขึ้นและการสร้างนาฬิกาที่มีความบางพิเศษ (ซึ่งใช้กลไกขนาด 9 ligne calibre 2003) และในระหว่างทศวรรษ 1950 และ 1960 ยอดขายของบริษัทก็กลับพุ่งขึ้นอีกครั้ง ต่อมาในปี 1967 Audemars Piguet ได้ร่วมมือกับเจเกอร์ เลอคูลทร์ ( Jaeger LeCoultre) สร้างสถิติใหม่ด้วยการประดิษฐ์กลไกอัตโนมัติที่บางที่สุดเพียง 2.45 มิลลิเมตร ซึ่งมีโรเตอร์กลางทำจากทองคำ 21K และเพียง 3 ปีต่อมมาคือในปี 1970 ช่างนาฬิกาของ Audemars Piguet ก็ได้สร้างกลไกบางที่สุดในโลกหนาเพียง 3.05 มิลลิเมตรที่สามารถรวมเอาฟังก์ชั่นแสดงวันที่และโรเตอร์กลางซึ่งทำด้วยทองมาไว้ด้วยกัน

และปีที่สำคัญมากแห่งประวัติศาสตร์ Audemars Piguet ก็คือปี 1972 ที่บริษัทได้สร้างนาฬิการุ่นยอดนิยมและยังมีชื่อเสียงอย่างต่อเนื่องจวบจนปัจจุบันนั่นคือ นาฬิการุ่น ” รอยัล โอ็ก” (Royal Oak) ซึ่งได้รับการออกแบบโดยผู้เป็นตำนานแห่งช่างนาฬิกา เฌรัลด์ ฌองตา กับตัวเรือนทรงแปดเหลี่ยมขอบตัวเรือนทำจากเหล็กตกแต่งด้วยสกรูแบนรูปหกเหลี่ยมฝังเข้าไปกลายเป็นดีไซน์ที่แสดงความสมดุลระหว่างพลังและความหรูหรา และหลังจากการเปิดตัวภายในงาน European Watchmaking Fair ในปี 1972 ด้วยราคาสูงถึง 3,300 ฟรังก์สวิส ก็ยิ่งทำให้ Audemars Piguet กลับมามีชื่อเสียงเกินความคาดหมายของผู้สร้างนาฬิกาเรือนนี้เสียอีก

ปัจจุบัน Audemars Piguet ยังคงเป็นที่หนึ่งในฐานะผู้ผลิตเครื่องบอกเวลาระดับสูงของโลก ทุกชิ้นส่วนกลไกยังคงทำและประกอบขึ้นด้วยมือตามประเพณีตกทอดในการสร้างนาฬิกา และวันนี้ชื่อของ Audemars Piguet ก็มาเป็นอันดับ 3 รองจาก Patek Philippe และ Vacheron Constantin ในฐานะนาฬิกาที่ประณีตที่สุด สรรค์สร้างจากโรงงานซึ่งมีพนักงานรวม 320 คน และเป็นช่างนาฬิกามากกว่า 120 คน ปัจจุบันผลิตนาฬิกาได้มากกว่า 20,000 เรือน (ในปี 2004) และมีรายได้จากยอดขายกว่า 240 ล้านฟรังก์สวิส